วิธีดูอายุลูกแมวจากพฤติกรรม


ดูอายุลูกแมวจากการประเมินพฤติกรรม

1. เฝ้าสังเกตสัญญาณการหย่านมของลูกแมว ขั้นตอนนี้ใช้ได้เฉพาะกับลูกแมวที่ยังอยู่กับแม่ของตัวเองเท่านั้น แม่แมวจะเลิกให้นมลูกตัวเองเมื่อลูกมีอายุได้ราว 4-6 สัปดาห์[9] ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นมของแม่แมวเริ่มหมด ถ้าแม่แมวฝึกลูกตัวเองจนลูกหย่านมได้เรียบร้อยแล้ว ลูกแมวก็คงจะมีอายุประมาณ 7 สัปดาห์ หลังจากมีอายุได้ 7 สัปดาห์ แม่แมวจะไม่ให้นมลูกตัวเองอีก คุณอาจจะสังเกตเห็นลูกแมวพยายามเข้าใกล้แม่ตัวเองเพื่อขอกินนม แต่ก็จะถูกตบและไล่ออกมา ลูกแมวอายุ 7-8 สัปดาห์จะเริ่มออกห่างจากแม่ตัวเองบ่อยขึ้นและนานขึ้น เพื่อที่จะออกผจญภัยสำรวจสิ่งที่อยู่รอบตัวได้มากขึ้น

2. เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของลูกแมว ความคล่องแคล่วในการเดินของลูกแมวสามารถใช้บอกอายุของมันโดยอิงจากพัฒนาการพื้นฐานได้ ลูกแมวจะไม่สามารถยืนหรือเดินไปรอบๆ ได้จนกว่ามันจะอายุได้ประมาณ 2 ถึง 4 สัปดาห์ จนกว่าจะถึงเวลานั้น ลูกแมวจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการขดตัวซุกอยู่กับแม่ตัวเองและพี่น้อง หลับ หรือกินนม หากลูกแมวจำเป็นต้องขยับตัวในสองสามสัปดาห์แรก มันก็จะใช้วิธีคลานแทน พฤติกรรมการเดินโซเซและไม่มั่นคงของลูกแมวเป็นตัวบอกว่า ลูกแมวมีอายุได้ราว 2 สัปดาห์แล้ว ถ้าลูกแมวเริ่มเดินได้อย่างมั่นคง แสดงว่ามันอาจจะมีอายุได้มากกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ช่วงอายุระหว่าง 3 ถึง 4 สัปดาห์ ลูกแมวจะเริ่มแสดงการตอบสนองที่เรียกว่า “Righting Reflex” ซึ่งเป็นความสามารถในการพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะตกสู่พื้นด้วยเท้า เมื่ออายุได้ประมาณ 4 สัปดาห์ ลูกแมวจะสามารถเดินได้อย่างมั่นคงขึ้น เริ่มสำรวจสิ่งที่อยู่รอบตัว ความอยากรู้อยากเห็นและความซุกซนตามธรรมชาติจะปรากฏออกมาพร้อมกับความสามารถในการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นนี้ ลูกแมวที่มีอายุในช่วงนี้จะเริ่มแสดงพฤติกรรมการกระโดดจู่โจม ลูกแมวที่สามารถวิ่งได้มักมีอายุไม่ต่ำกว่า 5 สัปดาห์

3. สังเกตปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงและสิ่งที่เคลื่อนไหวของลูกแมว แม้ว่าดวงตาและช่องหูจะเริ่มเปิดในช่วงอายุ 2 หรือ 3 สัปดาห์แรก แต่ปฏิกิริยาตอบสนองนี้จะพัฒนาในช่วงอายุก่อนหน้านี้ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกจะชี้ให้เห็นว่า ลูกแมวมีอายุได้ประมาณ 3 สัปดาห์ครึ่งแล้ว

4. ประเมินความมั่นใจและความซุกซน ลูกแมวที่มีสุขภาพแข็งแรงจะมีความมั่นใจที่มากขึ้นเมื่ออายุได้ราว 5 ถึง 6 สัปดาห์ นี่เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการประสานการทำงานของอวัยวะและการเคลื่อนไหว ลูกแมวที่มีอายุอยู่ในช่วงนี้จะเริ่มกล้าออกสำรวจสิ่งที่อยู่รอบตัวมากกว่าลูกแมวที่มีอายุน้อยกว่าซึ่งมักจะลังเล ในช่วงอายุ 7-8 สัปดาห์ ลูกแมวจะมีพัฒนาการของการประสานการทำงานของอวัยวะและการเคลื่อนไหวที่สูง มันจะสนุกสนานกับการวิ่งไปรอบๆ การเล่น และการพบปะผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ มันจะเริ่มสำรวจที่สูง โดยการฝึกการเคลื่อนไหวในการกระโดด

ระบุอายุจากพฤติกรรมของวัยเจริญพันธุ์

1. สังเกตสัญญาณของวัยแรกรุ่น เมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือน พฤติกรรมของแมวจะเริ่มเปลี่ยนเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แมวที่อยู่ในช่วงอายุนี้จะร้อง “เหมียว” เสียงดังในเวลากลางคืน หรือพยายามจะหนีออกจากบ้านไปข้างนอก พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า แมวกำลังเริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น

2. เฝ้าสังเกตสัญญาณของวัยเจริญพันธุ์ที่เกิดขึ้นต่อมา โดยปกติแล้ว เมื่ออายุได้ 4-6 เดือน แมวจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แมวในวัยนี้จะเริ่มผอม (ไม่อวบอ้วนเหมือนวัยเด็ก) และมีร่างกายที่เพรียว แม้ว่าน้ำหนักของมันจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แมวตัวผู้ที่อายุมากกว่า 4 เดือน อาจจะเริ่มทำเครื่องหมายด้วยกลิ่น (ปัสสาวะแสดงอาณาเขต) เพื่อดึงดูดตัวเมียในการหาคู่ แมวตัวเมียอาจจะเริ่มกระสับกระส่ายเมื่ออายุได้ระหว่าง 4 ถึง 6 เดือน อาการนี้ยังรวมถึงการทำเครื่องหมายด้วยกลิ่น จนถึงการครวญครางและการบิดตัวไปมาอีกด้วย

3. สังเกตการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แมวที่มีอายุ 7 เดือน หรือแก่กว่านั้น จะเป็นแมวที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น มันจะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น และจะมีพัฒนาการทางเพศที่สมบูรณ์ โปรดระวังไว้ว่าแมวตัวเมียจะสามารถตั้งท้องได้ หากคุณไม่คอยจับตาดูให้ดี การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จะทำให้แมวมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้นได้ด้วยเช่นกัน แมวจะเริ่มท้าทายแมวตัวอื่นเพื่อแสดงอำนาจที่เหนือกว่าเมื่ออายุได้ราว 6 เดือน แมววัยรุ่นมักจะกัดบ่อยขึ้นมากกว่าแมวเด็กหรือแมวที่โตแล้ว แมวมักจะกัดบ่อยมากขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่น ดังนั้นคุณต้องดูแลและจัดการแมวที่อยู่ในช่วงวัยนี้ให้ดี

เคล็ดลับ
ช่วงที่สำคัญที่สุดในการปลูกฝังการเข้าสังคมให้แมวก็คือ ช่วงที่แมวมีอายุระหว่าง 2 ถึง 7 สัปดาห์ พฤติกรรมของแมวในช่วงอายุ 7-8 สัปดาห์ จะเป็นสัญญาณสำคัญที่จะบ่งบอกว่า แมวสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้อย่างปกติสุขดีหรือไม่ แมวที่ไม่ได้รับการปลูกฝังการเข้าสังคมอาจกลายเป็นแมวที่ไม่เชื่อง ซึ่งจะทำให้มันอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ลำบากในอนาคต

ขอขอบคุณบทความจาก : https://th.wikihow.com